การหยุดให้ผลของกรรม
กรรมจะหยุดให้ผลด้วยเหตุ 3 ประการ คือ
1. หมดแรง คือ ให้ผลจนสมควรแก่เหตุแล้วเหมือนคนได้รับโทษจำคุก 2 ปี เมื่อถึงกำหนดแล้วเขาย่อมพ้นจากโทษนั้นนอกจากในระหว่าง2ปี ที่ถูกจองจำอยู่เขาจะทำความผิดซ้ำซากเข้าอีก ถ้าในระหว่างถูกจองจำอยู่เขาทำความดีมากอาจให้ลดโทษลงเรื่อย ๆ การให้ผลของกรรมก็ทำนองเดียวกัน โดยปรกติธรรมดามันจะให้ผลจนหมดแรง นอกจากเวลาที่กำลังให้ผลอยู่นั้นบุคคลผู้นั้นทำชั่วเพิ่มขึ้น มันก็จะให้ผลรุนแรงมากขึ้น ถ้าเขาทำความดีมากขึ้นผลชั่วก็จะเพลาลง ในขณะที่กรรมดีกำลังให้ผลถ้าเขาทำดีเพิ่มขึ้นผลดีก็จะมีกำลังมากขึ้น ถ้าเขาทำกรรมชั่วในขณะนั้นผลของกรรมดีก็จะเพลาลง
2. กรรมจะหยุดให้ผล เมื่อกรรมอื่นเข้ามาแทรกแซงเป็นครั้งคราว คือกรรมดีจะหยุดให้ผลชั่วคราวเมื่อบุคคลทำกรรมชั่วแรง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้กรรมชั่วอันมีกำลังเชี่ยวกรากนั้นให้ผลก่อน ถ้าขณะที่กรรมชั่วกำลังให้ผลอยู่มันจะหยุดให้ผลชั่วคราว เมื่อบุคคลผู้นั้นทำกรรมดีแรง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ผลกรรมดีให้ก่อน นี่หมายเฉพาะที่จำเป็นและเร่งด่วนเท่านั้น โดยปกติเมื่อกรรมอย่างหนึ่งให้ผลอยู่ กรรมอื่น ๆ ก็จะรอคอยเปรียบเหมือน เมื่อพระราชามีพระราชภารกิจบางอย่างอยู่หากมีราชกิจอย่างใดอย่างหนึ่งอันไม่รีบด่วนนัก ราชบุรุษหรืออำมาตย์มนตรีย่อมพักราชกิจนั้นไว้ก่อนจะนำความกราบบังคมทูลต่อเมื่อราชกิจที่ทรงอยู่ (เช่นทรงต้อนรับแขกเมืองอยู่) เสร็จไปแล้ว ถ้าหากเป็นราชกิจรีบด่วนจริง ๆ เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ก็สามารถนำความกราบบังคมทูลได้ทันที การรับสั่งด้วยแขกเมืองก็ต้องหยุดไว้ก่อน
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นการยากที่จะเข้าใจหรือเห็นกรรมและผลของกรรมโดยตลอดในช่วงชีวิตเดียวฉะนั้น เรื่องกรรมและสังสารวัฏจึงมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เข้าใจเรื่องกรรมโดยตลอดต้องพูดกันเรื่องสังสารวัฏ เมื่อมีสังสารวัฏคือการเวียนว่ายตายเกิดก็ต้องสาวไปหา กรรมดีกรรมชั่วในอดีต จึงจะสมบูรณ์
3. บุคคลผู้ทำกรรมได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ตัดวัฏฏะ คือ การเวียนว่ายตายเกิดเสียได้ มีชีวิตอยู่เป็นชาติสุดท้ายไม่เกิดในภพใหม่อีก กรรมย่อมหมดโอกาสให้ผลอีกต่อไปวิญญาณของท่านผู้นั้นบริสุทธิ์หมดเชื้อ เหมือนเมล็ดพืชที่สิ้นยางเหนียวแล้ว ปลูกไม่ขึ้นอีกต่อไปกรรมของพระองคุลิมาลเป็นอาทิ เมื่อท่านนิพพานแล้วกรรมต่าง ๆ ทั่งดีและชั่ว ไม่ว่ารุนแรงเพียงใดก็หมดโอกาสให้ผลเปรียบเหมือนบุคคลวิ่งหนีสุนัข สามารถว่ายน้ำข้ามไปฝั่งโน้นได้ แล้วเหลือวิสัยของสุนัขที่จะไล่ตามไปได้ เมื่อบุคคลผู้นั้นไม่กลับมาสู่ฝั่งนี้อีก สุนัขซึ่งเฝ้าคอยก็จะตายไปเอง
อนึ่งความไม่ควรแก่การเกิดอีกของบุคคลผู้มีคุณธรรมสูงสุด เพราะได้พัฒนาจิตอย่างดีที่สุดแล้วนั้นเปรียบเหมือนเมล็ดพืช ซึ่งได้พัฒนาตัวมันเองอย่างดีที่สุดแล้ว เมล็ดลีบ เนื้อมาก เมล็ดพืชเช่นนั้นนำไปปลูกไม่ขึ้นอีกไม่ว่าได้ดินได้น้ำดีเพียงใด เป็นการสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของเมล็ดพืชเช่นนั้น
กรรมไม่ดำไม่ขาว มีผลไม่ดำไม่ขาว คือ เจตนาที่จะละกรรมทั้งปวง ทั้งกรรมดา กรรมขาว และกรรมทั้งดำทั้งขาว กรรมเช่นนี้แหละย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม เช่น กรรมของพระอรหันต์
จุดมุ่งหมายของการเกิดใหม่
การเกิดใหม่เป็นกระบวนการธรรมชาติอย่างหนึ่งของชีวิต เพื่อวิญญาณจักได้มีประสบการณ์ด้านต่าง ๆ ก่อนจะออกจากโลก เข้าสู่โลกุตตรภาวะและไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพไหน ๆ อีกต่อไป
โลกนี้เป็ฯเสมือนโรงเรียนใหญ่สำหรับวิญญาณจักได้ศึกษาหาประสบการณ์จนถึงที่สุด เมื่อเราได้เกิดซ้ำซากอยู่ชาติแล้วชาติเล่า ได้ผ่านความสุขบ้างทุกข์บ้างประสบความสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง เป็นบทเรียนพอสมควรแล้ว เราก็จะไปใช้ชีวิตอยู่ในโลกทิพย์ชั่วระยะเวลาหนึ่งซึ่งมสภาวะต่าง ๆ แตกต่างจากโลกของเราเป็นอันมากวัญญาณของเราตื่นตัวมากขึ้น ความรู้สึกประทับใจในจริยธรรมมีมากขึ้น
โรงเรียนโลกก็เหมือนกับโรงเรียนสามัญ คือ โรงเรียนสามัญนั้นนักเรียนจะต้องมาโรงเรียนวันแล้ววันเล่าเดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่าเพื่อเรียนวิชาซ้ำ ๆ กันนั้นเอง ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าจนกว่าจะจบหนักสูตรแล้วออกจากโรงเรียนไป เพื่อเรียนต่อในระดับที่สูงกว่า ถ้าเป้นผู้ที่เรียนจบชั้นสูงสุดแล้วก็ไม่ต้องเรียนอีกต่อไป โรงเรียนก็ทำนองเดียวกัน วัญญาณจะต้องมาสู่โลกนี้ชาติแล้วชาติเล่า เพื่อเรียนบทเรียนซ้ำ ๆ กันนั่นเอง เพื่อให้เกิดความชำนาญและรู้แจ้งในเหตุการณ์ต่าง ๆ ของชีวิตแล้วประมวลเป็นบทเรียนที่วิญญาณจะต้องเรียนรู้และทรงจำวิญญาณที่เรียนจบหลักสูตรสมบูรณ์แล้ว ก็ออกจากโลกไปไม่หวดกลับมาอีก ที่เรียกว่า โลกุตตระ
ข้อแตกต่างระหว่างโรงเรียนสามัญกับโรงเรียนโลกก็คือ ในโรงเรียนสามัญ นักเรียนผู้ไม่สมัครใจเรียนอาจลาออกจากโรงเรียนไปในระหว่างได้ แต่โรงเรียนโลกจะไม่เป็นอย่างนั้น นักเรียนของโรง
เรียนโลก (คือคนทุกคน) จะออกจากโลกไปโดยยังไม่จบบทเรียนหาได้ไม่ ผู้ที่จะออกจากโลกไปเป็นโลกุตตรชนก็เฉพาะผู้ที่จบบทเรียนสมบูรณ์สูงสุดเท่านั้น
ความทุกข์ยากลำบากเป็นบทเรียนอันสูงค่าของชีวิต ชีวิตยิ่งลำบากเท่าใด เรายิ่งได้เปรียบมากเท่านั้น ทั้งนี้หมายถึงเพื่อการศึกษาและความรอบรู้ของวิญญาณ คนส่วนมากมักตีคุณค่าของชีวิตด้วยลาภผลที่หาได้ เช่น ตำแหน่ง ยศ ความสนุกสนานสำราญใจ ความจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้มีคุณค่าแก่ชีวิตน้อย สิ่งที่มีคุณค่าแก่ชีวิตจริง ๆ คือพฤติกรรมอันทำให้เราสามารถพัฒนาจิตใจของเราให้สู่ระดับสูง ความทุกข์ยากและความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งทำให้เรารู้จักโลกและชีวิตดีขึ้น เพราะจุดปนะสงค์ใหย๋ของชีวิต ก็เพื่อพัฒนาอำนาจที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวของเราให้เจริญถึงขีดสุด ประสบการณืทุกชนิดไม่ว่าเล็กหรือใหญ่เป็นส่วนหนึ่งแห่งบทเรียนของเรา แต่น่าเสียดายที่ดนส่วนมากมักลืมข้อเท็จจริงอันนี้เสีย ไม่ยอมรับบทเรียนที่มหาวิทยาลัยโลกเสนอให้ จึงต้องเรียนซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่าบทเรียนนั้นจะแจ่มแจ้งขึ้นในใจของเขาเอง
ระยะเวลาจากชาติหนึ่งไปถึงอีกชาติหนึ่ง กำหนดแน่นอนไม่ได้ ถ้าวิญญาณก้าวหน้ามาก มีคุณธรรมสูงมากจะอยู่ในโลกทิพย์ (สวรรค์) นานเป็ฯพัน ๆ หมื่น ๆ ปี เพื่อย่อยประสบการณ์ต่าง ๆ เข้าสู่อุปนิสัย แล้วมาเกิดในโลกมนุษย์อีก เพื่อหาโอกาสเรียนรู้บทเรียนที่ยังเหลืออยู่บางบท เขาสมัครใจมาเกิดเพื่อทำหน้าที่เป็นครูสอนมนุษย์หรือช่วยเหลือมนุษย์ในการพัฒนาจิตใจการตายแล้วเกิดเป็ฯกระบวนการที่สิ้นสุดได้ ถ้าเราสามารถพัฒนาวิญญาณให้สมบูรณ์จนไม่มีความชั่วหลงเหลืออยู่เลย
ชีวิตเพียงชาติเดียวให่เพียงพอที่จะหาประสบการณ์ให้แก่วิญญาณได้ เรียกว่าเกือบจะไร้จุดมุ่งหมายเอาทีเดียวเหมือนนักเรียนมาโรงเรียนเพียงวันเดียว จะทันได้เรียนรู้อะไรเด็กที่เกิดมาในแหล่งสลัมในนครใหญ่ ๆ นั้นจะมีประโยชน์อะไรถ้าเขาเกิดมาเพียงชาติเดียว แต่เพราะเหตุที่ไม่มีอะไรสูญ ไม่มีอะไรถูกลืมไม่ว่าชีวิตจะสั้นเพียงใดมันย่อมมีบางสิ่งบางอย่างอันมีคุณค่าควรแก่การทรงจำของวิญญาณ หรือเป็นการใช้หนี้เก่าบางอย่างที่เคยทำมาใจชาติอดีต
โชคชะตาของแต่ละคน จึงเป็นผลรวมแห่งการกระทำในอดีตของเขาเอง ความสามารถทางจิต สภาพทางกายอุปนิสัยทางศีลธรรม และเหตุการณ์ณ์สำคัญในชาติหนึ่ง ๆ ย่อมเป็นผลแห่งความปรารถนา ความคิดความตั้งใจของเราเองในอดีก โชคชะตามิใช่ใครจะหยิบยื่นให้ใครได้ แต่มันเป็ฯผลรวมแห่งการกระทำของเราเองในอดีตจนถึงปัจจุบัน ความต้องการในอดีตของเราเป้ฯสิ่งกำหนดโอกาสในปัจจุบันของเรา ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอย ๆ สภาพปัจจุบันของเรา ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอย ๆ สภาพปัจจุบันของเราเป็นผลแห่งการกระทำความคิดและความต้องการของเราในอดีต ไม่เฉพาะแต่ในชาติก่อนเท่านั้น แต่หมายถึงในตอนต้น ๆ แห่งชีวิตปัจจุบันของเราด้วย
เพราะเหตุที่การเกิดใหม่มีจุดมุ่งหมายนั่นเอง เราจะเห็นว่าในบางยุคมีนักปราชญ์มาเกิดมากมายเป็นหมู่ ๆ เหมือนนัดกันมเกิด ทั้งนี้เพื่อทำประโยชน์อย่งใดอย่างหนึ่งที่ท่านทำคั่งค้างไว้ให้เสร็จไป
กรรมดำ คือ อกุศล ทุจริต
กรรมขาว คือ กุศล สุจริต
กรรมทั้งดำทั้งขาว คือ กรรมทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล ทั้งทุจริตและสุจริต
กรรมไม่ดำไม่ขาว คือ กรรมของพระอรหันต์สักแต่ว่าเป็นกิริยาไม่มีผลเป็นสุขหรือทุกข์อีกต่อไป
คนที่มีบาปมาก ไปนรก
คนมีบุญมาก ไปสวรรค์ชั้นดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น